“ครูสลา” และ “วสุ ห้าวหาญ” สองนักแต่งเพลงลูกทุ่งโร่แจ้งความสน.คันนายาว ฟ้องกลับศิลปินกันตรึมสาวจากสุรินทร์หมิ่นกล่าวหาละเมิดลิขสิทธิ์เพลง ลั่นไม่มีไกล่เกลี่ย ให้ไปคุยชั้นศาลอย่างเดียว เพื่อเป็นตัวอย่างไม่ให้คนมากล่าวหามั่วๆ อีก
เกี่ยวกับกรณีที่ “ครูสลา คุณวุฒิ” และ “วสุ ห้าวหาญ” สองนักแต่งเพลงลูกทุ่งชื่อดังจากค่ายแกรมมี่ โกลด์ ถูกศิลปินสาวกันตรึมจากเมืองสุรินทร์ “น.ส.ศรีฟ้า ดารณี” เข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์เพลง โดยระบุว่าสองครูเพลงได้ลอกเลียนผลงานไปทั้งหมด 8 บทเพลง อาทิ กระทงหลงทาง, จดหมายผิดซอง, ทบ.2 ลูกอีสาน, คืนใจให้กัน, ปริญญาใจ, คูณดอกสุดท้าย ฯลฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ “ครูสลา” และ “วสุ” พร้อมทนายความได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้ว พร้อมทั้งให้การปฏิเสธทั้งหมด ยันจะสู้คดีให้ถึงที่สุด เพราะเป็นคนสร้างสรรค์บทเพลงเหล่านั้นด้วยตัวเอง
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา (16 ธ.ค.) “ครูสลา” และ “วสุ ห้าวหาญ” ได้เดินทางมายัง สน.คันนายาว พร้อมทนายความส่วนตัว “นายชัชวาล เฟื่องคอน” และ “นายประธาน สมฤดี” ฝ่ายกฎหมายของบ.แกรมมี่ เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดี “น.ส.ศรีฟ้า ดารณี” กลับในข้อหาหมิ่นประมาท โดยมี ร.ต.ท.ชัยวัฒน์ นาคเพ็ชร์ พนง.สอบสวน สบ.1 สน.คันนายาว รับแจ้งความ จากนั้น “ครูสลา” ได้กล่าวเปิดใจกับสื่อมวลชนว่า
“วันนี้มาแจ้งความดำเนินคดีว่าเขาหมิ่นประมาท ที่กล่าวหาว่าเราไปละเมิดลิขสิทธิ์เพลงเขา จุดมุ่งหมายเราคืออยากจะยืนยันว่า เราคือผู้สร้างสรรค์งานที่แท้จริง และเรายืนยันว่าไม่ได้ขโมย ไม่ได้ไปละเมิด ไม่ได้ไปเอาของใครมาแล้วเอามาใส่ชื่อเรา ตรงนี้เรายืนยัน อันที่ 2.เราอยากให้ความจริงปรากฏ เพราะเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก ถ้าเราไม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาด มันก็จะเกิดขึ้นกับอีกหลายๆ คน ต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพของเราด้วย”
“ก่อนหน้านี้เขาได้แจ้งความเราตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่จะมีช่องว่างและห่างเหิน เพราะเราอยากให้โอกาสเขาทบทวน ให้เขาได้มาพิสูจน์สิทธิ์กัน ถ้าสงสัยก็ไปที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา แต่เขาก็ไม่ไป พอไม่ไปวันนี้เราก็เลยมาปกป้องสิทธิ์ของเรา มายืนยันว่าเราคือผู้สร้างสรรค์งานที่แท้จริง”
ต่อข้อซักถามที่ว่า รู้จักคู่กรณีเป็นการส่วนตัวหรือไม่ ครูเพลงดังปฏิเสธ พร้อมลั่นไม่อยากเจอและไม่อยากคุยกับอีกฝ่าย ให้ไปคุยกันในศาลอย่างเดียว
“โดยส่วนตัวแล้วผมไม่รู้จักเขา แต่ไม่ยืนยันว่าเคยเจอหรือเปล่านะ เพราะโดยอาชีพของพวกเราจะพบปะผู้คนอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเคยเจอหรือเปล่า แต่ถ้ารู้จักส่วนตัวไม่รู้จัก เพราะผมอยู่อุบลฯ อำนาจเจริญ ส่วนเขาอยู่สุรินทร์ หลังจากเกิดเรื่องแล้วผมก็ไม่มีการติดต่อพูดคุยกับเขา โดยเจตนาแล้วไม่อยากคุย เพราะคิดว่าเราคือความจริง ก็ไม่อยากคุยกับความเท็จ และการเจอเขาก็ไม่ได้อยู่ในจุดประสงค์ด้วย คือเขากล่าวหาเรา เราก็ยืนยันว่าคือผู้สร้างสรรค์ที่แท้จริง ส่วนรายละเอียดก็ไปพูดกันในชั้นศาล”
“ผมก็สงสัยทำไมเขาถึงมากล่าวหา แต่ก็เข้าใจ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยมากตั้งแต่เข้ามาในวงการแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านอื่นก็โดนในลักษณะคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่าของเราค่อนข้างจะรุนแรง ผมไม่อยากคิดว่าเขาทำเพื่อมุ่งทำลายชื่อเสียงเรา อันนั้นเป็นเรื่องของเขา”
“ผมคิดว่าถ้าคนเราเชื่อมั่นในตัวเอง เคารพสิทธิ์ของผู้อื่น และเคารพกติกาของสังคม มันก็จะไม่เกิดปัญหา ถ้าสงสัยสังคมก็ให้โอกาสพิสูจน์กันได้อยู่แล้ว แล้วเราทำงานตรงนี้กว่าจะมาเป็นเพลง 1 เพลง มันผ่านกระบวนการเยอะมาก โดยเฉพาะทำงานในแกรมมี่ กระบวนการผลิตเพลงของแกรมมี่ มันมีผู้คนที่เกี่ยวข้องรับรู้เรื่องราวเยอะมากกว่าจะออกมาเป็นเพลง รวมไปถึงหลายๆ เพลงที่ถูกเขากล่าวหา และเคยได้รับรางวัลหลายรางวัล แต่ละองค์กรที่ให้รางวัลนั้น เขาก็พิสูจน์เราพอสมควรว่า เราคือผู้สร้างสรรค์จริงหรือไม่ ก่อนที่เขาจะให้รางวัลเรา”
ด้าน “วสุ ห้าวหาญ” เปรยรู้สึกไม่ต่างไปจาก “ครูสลา” ที่ต้องออกมาปกป้องสิทธิ์ตัวเอง ทั้งยังฝากถึงคู่กรณีให้ทบทวนตัวเอง ไม่ควรคิดทำลายชีวิตผู้อื่น
“ผมก็รู้สึกไม่ต่างกับครูครับ เหมือนเราทำงานอยู่แล้วถูกใครไม่รู้มาทำร้าย พอเลือดเราออกก็ได้เวลาที่ต้องออกมาปกป้องทรัพย์สินเรา ผมก็อยากฝากถึงคู่กรณีว่า พฤติกรรมใดๆ ที่คุณรู้สึกว่ากำลังทำลายตัวเอง ก็น่าจะทบทวนตัวเอง คนเราสามารถที่จะแสวงหาได้ แต่ควรจะถูกต้องตามหลักศีลธรรมจรรยา ไม่ควรจะทำร้ายหรือทำลายชีวิตคนอื่น”
ฟากทนายความของครูเพลงชื่อดังเผยว่า จะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายให้ถึงที่สุด จะไม่มีการเจรจายอมความใดๆ เพื่อเป็นแบบอย่าง ไม่ให้คนออกมากล่าวหามั่วๆ อีก
“กระบวนการก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ก็เมื่อแจ้งความแล้วก็ดำเนินจนถึงที่สุด หลังจากนี้จะเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน ส่วนจะมีขึ้นศาลหรือเปล่า ก็ต้องรอดูพนักงานสอบสวนจะนัดยังไง เมื่อไหร่ แต่เราจะไม่ยอมใดๆ จะขึ้นศาลอย่างเดียว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วคนที่คิดแบบนี้ ก็จะไปฟ้องร้องใครก็ได้ แล้วก็หาโอกาสคุย เราไม่อยากให้โอกาสอย่างนั้น เพราะข้อพิสูจน์มันก็มีหน่วยงานราชการรองรับอยู่แล้ว เช่นกรมทรัพย์สินฯ เราก็ไปพิสูจน์สิทธิ์กัน ถ้ายังสงสัยอยู่ก็ไปฟ้องศาล เราต้องทำให้ชัดเจนเพื่อปรากฏต่อสังคม และจะได้เป็นแบบอย่างกับหลายๆ คนที่คิดแบบนั้น”
ที่มา: manager.co.th