“แดน” แถลงโต้ “ก้อย” แฟนเก่าโกหกคำโต ยันไม่เคยให้ความหวังลมๆ แล้งๆ และไม่เคยอยู่กินฉันท์สามีภรรยา บอกดำเนินคดีถึงที่สุดเพราะไม่เคยสำนึกว่าทำผิด เชื่อเป็นโรคจิต รับตอนนี้หวาดระแวง ติดรูปทั่วหมู่บ้านห้ามเข้า อาจย้ายบ้านหนีเพราะถูกขู่อีกจะมาเผาบ้าน
หลังจากที่โดนแฟนเก่า “ก้อย แพรวพันธุ์ สมพงษ์มิตร” ตามหึงหวง และมาราวีถึงขั้นตามสาดโซดาไฟถึงบ้าน ตอนนี้อาการของดาราหนุ่ม “แดน ดนัย สมุทรโคจร” ก็ดีขึ้นมากแล้ว สภาพใบหน้าแทบจะไม่เหลือร่องรอยของบาดแผลให้เห็น เหลือแค่แผลมุมปากข้างซ้ายอีกเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งล่าสุดเมื่อช่วงเวลา 17.30 น.วันนี้ (2 ธ.ค.) หนุ่ม “แดน” ได้มาพร้อมกับผู้จัดการส่วนตัว “กบ ปิยะฉัตร อุดมทวี” ทำการแถลงข่าวชี้แจงต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดต่อสื่อมวลชนอีกครั้งที่ ร้านโสต รัชดาซอย 4
ซึ่งหนุ่ม “แดน” เผยว่าที่อดีตแฟนสาวได้ออกมาแถลงข่าวไปนั้น ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริงเลย แต่ตนก็เข้าใจได้ เพราะเวลาคนโกรธมักให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง
“เหตุผลที่ผมจัดแถลงข่าวนี้ เพราะผมอยากจะเคลียร์ข้อมูลที่แท้จริงออกมาหน่อย เข้าใจว่าก้อยก็ได้แถลงข่าวและสัมภาษณ์ออกมาแล้ว แดนก็รู้สึกว่าบางทีเวลาคนเรามันโกรธกันมาก หรือว่ามันมีความแค้นมาก ความจริงมันจะเพี้ยนไป สิ่งที่ก้อยคิดว่ามันเป็นความจริง แดนรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง มันเป็นความจริงที่เขารู้สึกว่าคือความจริง แดนไม่ได้บอกว่าเขาโกหก แต่รู้สึกว่าเขาอาจจะเห็นอะไรแล้วก็ไปเข้าใจผิดกับสถานการณ์ เพราะความโกรธก็มีค่อนข้างเยอะ”
“อีกอย่างที่ผมอยากพูดถึงก็คือ ตอนนี้แดนพูดตรงๆ เลยว่าแดนไม่รู้สึกปลอดภัยเลย แดนรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะอันตราย โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ที่บ้านของแดนเอง แดนคิดว่าคนเราเวลาอยู่ที่บ้านและมีความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สบายใจและค่อนข้างน่ากลัวมากเลย ตอนนี้เวลาที่ผมได้ยินเสียงนิดๆ หน่อยๆ ผมก็จะระแวงแล้ว เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลย ก็อยากให้คนรอบๆ ข้างแดนทราบว่า ผมรู้สึกอยู่แบบนี้จริงๆ ตอนนี้”
“ซึ่งประเด็นที่ผมอยากจะพูดก็คือ ความจริงระหว่างแดนกับก้อยมันคืออะไร แดนยอมรับว่าเราเคยคบกัน แต่เราเลิกกันมานานมากแล้ว ตั้งแต่เดือนที่ 4 หรือ 5 ของปีนี้ คือเลิกกันจริงๆ ไม่ได้คบกันต่อเลย และการที่เลิกกันมันจะมีเหตุการณ์อันนึงที่ก้อยเขาเคยพูดถึงมาแล้ว และเหตุการณ์นั้นก็คือตอนที่ก้อยเข้ามาในบ้านผมตอนที่ผมไม่อยู่ ตอนนั้นเขายังมีกุญแจอยู่ ผมยังไม่ได้เปลี่ยน เพราะผมอนุญาตให้เขาขนของออกไปก่อน อันนี้คือหลังจากที่เลิกกันไปประมาณเดือนกว่าๆ”
“ตอนที่เขาขนของออกจากบ้านผม สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือเขาอาจจะมีอารมณ์ค่อนข้างเยอะ แล้วเขาก็พังบ้านผม ตามที่เขาแถลงข่าวเขาพูดว่า แค่เอาของบางอย่างไป มันไม่จริงนะครับ ผมก็เลยเอาหลักฐานมาให้ดูว่าตอนนั้นสภาพบ้านผมเป็นยังไง (ชูไอแพดที่มีรูปถ่ายสภาพบ้านที่ค่อนข้างเละเทะไปหมด) นี่คือสภาพห้องนอนผมที่มีโคมไฟแตก มีของหาย ของพัง ห้องแต่งตัวเสื้อผ้าก็ถูกปาขว้างทิ้งไว้ แล้วก็มีจอมอนิเตอร์ที่เคยมีวางไว้ ตอนนี้เขาก็เอาไปแล้ว นี่ก็อีกอย่างนึงที่ผมต้องการของคืน เขาเอาตู้โชว์ของเล่นผมไปด้วย สภาพสนามหลังบ้านผมก็เหมือนมีพายุผ่านเข้าไป”
“รูปทั้งหมดนี้ถ่ายไว้เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว แต่ผมไม่อยากโชว์ให้นักข่าวดูตั้งแต่ครั้งแรก เพราะผมมีเหตุผล เนื่องจากตอนที่ผมไปโรงพักครั้งแรก เขาบอกว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่ง เป็นคดีที่ค่อนข้างสูง และสมมติว่าผมเอาเรื่องจริงๆ ก็มีสิทธิ์ว่าก้อยอาจจะเข้าคุก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็มีสิทธิ์ว่าเขาอาจจะฆ่าตัวตาย เพราะว่าตอนนั้นสภาพจิตเขาไม่ค่อยดี ผมก็เลยบอกว่าจะไม่แจ้งความ ซึ่งผมก็คิดว่าเขาน่าจะเห็นใจผมแล้วก็ไม่ทำอะไรต่อ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็อย่างที่ทุกคนเห็นไปแล้ว”
“ซึ่งตอนนั้นก็ทำให้ผมอยู่บ้านไม่ได้หลายวัน เพราะเขาจะขว้างแก้วค่อนข้างเยอะ เศษแก้วเยอะมาก ก็เรียกว่าพังทั้งบ้านจริงๆ ครับ แต่ผมพยายามจะไม่คิดมาก คิดว่ามันเป็นแค่สิ่งของ และคิดว่าเขาน่าจะทำแค่ครั้งเดียวและหยุด แต่ปัญหาคือมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นผมก็เปลี่ยนกุญแจที่บ้านเรียบร้อยแล้ว แต่นี่ฝีมือก้อยคนเดียวหรือเปล่าผมไม่ทราบครับ แต่รู้สึกว่าเขาจะพาคนเข้ามาในบ้านผมด้วย มีหลักฐานอยู่เพราะมันจะมี CCTV บนป้อมยามในหมู่บ้านเวลาเข้ามา”
“อีกอย่างที่เขาบอกว่ายังคุยกันอยู่ และผมยังให้ความหวังเขา นี่ไม่ใกล้เคียงเลยครับ นี่เราเลิกกันมา 6 เดือน และทุกครั้งที่เราเจอกันก็เป็นการแลกเปลี่ยนของแค่นั้นเลย ไม่ได้ให้ความหวังไม่ได้อะไรเลย แล้วที่เขาบอกว่ายังมีกุญแจบ้าน แลกกุญแจกันอยู่ นั่นยิ่งไม่ใช่ใหญ่ เพราะตั้งแต่เขามาพังบ้านผม ผมก็เปลี่ยนกุญแจใหม่หมดทันที นี่คือเหตุผลที่เขาต้องบุกรุกเข้ามาในบ้านผม เพราะว่าเขาไม่มีกุญแจบ้านแล้ว”
“แต่ถามว่าทำไมเขาถึงคิดว่าผมให้ความหวังเขา ตรงนี้ผมคิดว่าเขาก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ แต่เขาพูดว่าเป็นอย่างนั้น ก็จะได้ทำให้คนเห็นใจเขามากกว่า นี่คือสิ่งที่ผมอยากให้เขารู้ว่า สิ่งที่เขาทำมันค่อนข้างจะผิดนะ แต่ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย และเขาพยายามจะพูดเหมือนกับว่าเขาทำทุกอย่างถูกแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเลยครับ ที่เขาบอกว่าคบกันแบบเป็นสามีภรรยา ไม่จริงนะครับ คือเราคบกันแบบแฟนปกติ ไปมาหาสู่กันเฉยๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมก็ต้องรู้จักพ่อแม่เขาบ้าง นี่เขาไม่เคยพาผมไปรู้จักพ่อแม่เขาเลยตลอดเวลาที่คบกันมา แต่เขารู้จักทางพ่อแม่ผมหมด ซึ่งครั้งแรกที่ได้เจอพี่สาวเขาก็คือที่โรงพัก”
“แล้วที่เขาบอกว่าน้องชายผมเป็นฝ่ายมาขอเลิกแทนผม ไม่จริงนะครับ เหตุผลที่น้องชายผมมาวันนั้นก็คือเราเลิกกันแล้ว และเขาก็มาบ้านผมไม่ยอมกลับ ผมก็ขอร้องว่าให้เขาไปเถอะ แล้วก็มีการเสียงดังกันขึ้น แล้วเขาก็หยิบมีดออกมาใบใหญ่มาก แล้วเขาก็บอกว่าให้ผมแทงเขา เขาจะได้รู้ว่าผมไม่รักเขาแล้ว เขาจะได้ไป จากนั้นผมก็เลยวิ่งขึ้นข้างบนล็อกประตู แล้วก็โทรเรียกทุกคนที่ผมโทรเรียกได้ และคนที่ใกล้ที่สุดก็คือน้องผมคนนี้ ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”
“แต่ผมก็ทำใจครับ ผมรู้จักเขาดี ผมรู้ว่าเวลาเขาโกรธแค้นจะเป็นยังไง ผมก็เลยทำใจไว้แล้วว่ามันคงน่าจะประมาณนี้ ก็เสียหายเยอะเหมือนกันครับ แต่ไม่ได้รวมมูลค่าเพราะผมไม่อยากคิดถึงตรงนั้น ซึ่งพอผ่านตรงนี้ไปผมก็คิดว่าทุกอย่างมันน่าจะดีขึ้นแล้ว ผมไม่ได้เอาความอะไรเลย ผมก็คิดว่ามันน่าจะจบแล้ว แต่ในที่สุดมันก็มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดมันก็เลยทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจ”
เผยเหตุการณ์ที่ “ก้อย” บุกมาสาดโซดาไฟ ที่อดีตแฟนสาวบอกว่าตั้งใจมาฆ่าตัวตายนั้น ตนไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะมีอะไรหลายอย่างที่คิดว่าน่าจะมาทำร้ายกันมากกว่า
“ซึ่งเหตุการณ์วันที่เกิดเรื่องขึ้นก้อยบอกว่าเขาจะมาดูบ้านผม ดูสภาพว่าเป็นยังไงบ้าง แล้วเขาจะมาฆ่าตัวตายในบ้านผม นั่นคือสิ่งที่เขาพูด แต่ผมฟังดูแล้วมันก็ค่อนข้างแปลกนะครับ เพราะถ้าเกิดว่าเขาแค่จะมาดูบ้านผมอย่างเดียว แต่เขาเอาขวดมาทำไมถ้าแค่จะดู แล้วตอนเขาเข้ามาก็เอาขวดมา 2 ขวด ซึ่งในใจตอนนั้นเขาก็รู้ว่ามีอยู่ 2 คน และหลังจากที่เราเลิกกันช่วงแรกๆ เขาจะขู่ผมตลอดเลยว่าเขาจะฆ่าผม แล้วเขาก็จะเอาน้ำกรดสาดผมกับแฟนใหม่ผม ถ้าผมมีแฟน นี่คือสิ่งที่เขาพูดมาหลายครั้งแล้ว”
“ตอนนั้นพอผมเห็นขวดฟู่ๆ อยู่ในมือเขา แล้วเขาก็เดินไปหาเพื่อนผม ผมก็คิดว่าสิ่งที่เขาเคยขู่ไว้มันจะเป็นจริง ณ เวลานั้น ผมก็เลยต้องห้ามเหตุการณ์ ถ้าถามผมว่าเขาจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า ในสภาพเขาตอนนั้นมันไม่ได้ดูเหมือนอย่างนั้นเลย และมันมีอีกอย่างนึงที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่า เขาไม่น่าจะมาฆ่าตัวตายในบ้านผม ก็คือหลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นปั๊บผมก็ไม่สามารถอยู่บ้านได้ เพราะบ้านค่อนข้างเละ และมันจะมีเลือดของเขาตอนที่เขาโวยวายพังบ้านผม มันก็สาดไปบนกำแพง ผมก็ไม่อยากอยู่ในบ้านตอนนั้น เพราะมันค่อนข้างน่ากลัว”
“ผมเพิ่งกลับมาอยู่ที่บ้านเมื่อประมาณวันจันทร์ ผมก็ต้องมาเก็บบ้านค่อนข้างเยอะ และสิ่งที่ผมเจอตอนผมเปลี่ยนผ้าปูเตียง ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้ผมช็อกมาก ผมเจอมีดที่เขาเอาไปแอบไว้ข้างเตียงผม ผมเอาไปที่โรงพักแล้ว และมันมีคราบเลือดเขาอยู่ตรงด้ามมีด ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่า มีดเล่มนี้น่าจะอยู่ในถุงเดียวกับที่มีขวด และตอนที่เหตุการณ์มันเริ่มแย่ เขาก็เอามีดเล่มนี้ไปแอบไว้ข้างเตียงผม ซึ่งถ้าผมไม่เปลี่ยนเตียงวันนั้น ผมก็จะไม่เห็นมีดอันนี้ ผมก็เลยคิดว่าถ้าคนจะมาฆ่าตัวตาย เอาขวด 2 ขวดและเอามีดมาอย่างนี้ ผมว่ามันคงจะเยอะเกินไปแล้ว ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเจตนาอื่น ไม่รู้ว่าเขาจะทำจริงหรือไม่จริง แต่ผมไม่รู้สึกปลอดภัยเลยครับที่มารู้ว่า มีมีดอยู่ในห้องผม”
“ผมไม่รู้ว่าเจตนาเขาคืออะไร แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นแค่มาฆ่าตัวตายอย่างเดียว แต่ตอนนี้ผมแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้วข้อหาทำร้ายร่างกาย บุกรุก แล้วก็ทำลายข้าวของ 3 อย่างครับ แต่ผมอยากบอกอย่างนึงว่าแผลจากน้ำกรดเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่แผลที่ผมเป็นทั้งตัวคือเขาทำหมดเลย แต่ทางเขาไม่มีบาดแผลอะไรเลย แต่เลือดบนมือเขาก็คือตอนที่เขาทุบกระจกเข้ามาในบ้านผม แผลทุกอย่างบนร่างกายเขาคือเขาทำเองหมดเลย”
“แล้วถามว่าผมเป็นผู้ชาย ณ เวลานั้นทำไมผมไม่ป้องกันตัว เพราะว่าผมไม่อยากทำอะไรเขา เพราะผมรู้ว่าสภาพจิตเขาเป็นยังไง ผมได้แต่ป้องกันตัวเองอย่างเดียว เวลาเขาเข้ามา เขาจิกผมของผม เข้ามาทุบ โยนขวดน้ำใส่ แต่ผมใจเย็น ผมไม่ทำอะไรเลย ผมไม่ลงไม้ลงมือ มากสุดที่ผมทำก็คือจับมือเขา แล้วก็บอกว่าอย่าเข้ามาๆ ขอร้องเขาว่าอย่าทำอะไรผม นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมทำได้ เพราะผมรู้ว่าถ้าเกิดผมทำอะไรมากกว่านี้ปั๊บ มันจะมีผลไม่ดีออกมา ผมค่อนข้างที่จะบังคับตัวเองได้ค่อนข้างดี เพราะจะเห็นเลยว่าตัวเขาไม่มีรอยช้ำสักนิดเลย แต่บาดแผลของเขาก็คือมาจากตัวเองทั้งนั้น”
ยืนยันเพื่อนฝรั่งที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่ใช่แฟนใหม่ แต่เป็นธรรมเนียมฝรั่งที่เวลามาต่างประเทศ ก็ต้องมาพักบ้านเพื่อนเป็นปกติ
“เรื่องเพื่อนผมที่มาจากอเมริกาเป็นการเข้าใจผิดนะครับ เพราะคุณพ่อคุณแม่สอนผมมาตลอดเลยว่า เวลาเราอยู่เมืองนอก และเราอยากจะไปที่ไหน บางทีการที่เราจะไปพักโรงแรมมันจะแพงมาก พ่อแม่ก็จะสอนตลอดว่า ถ้าเป็นไปได้ก็ไปอยู่กับเพื่อนเรา ซึ่งไม่มีปัญหาเลย และเวลาที่มีคนกลับมาที่ประเทศนี้ มาหาเรา มาเยี่ยมที่ประเทศเรา เราก็ควรจะเปิดบ้านให้คนมาอยู่ด้วย มันเป็นสิ่งที่ฝรั่งเขาทำกันตลอดเวลา แดนก็ไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่แปลก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“พอก้อยรู้เพื่อนแดนมาความคิดเขาก็ไปไกลแล้ว ก็เลยมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น แต่เพื่อนฝรั่งคนนั้นไม่ใช่แฟนผมครับ แค่เพื่อนกัน แต่ที่ก้อยเขาบอกว่าเห็นดูสภาพเราไม่เหมาะสม เหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้ครับ คือว่าเพื่อนผมเขาอาบน้ำ และห้องเดียวที่มีน้ำร้อนที่ดีที่สุดก็คือในห้องนอนผม ผมก็เลยให้อาบน้ำในห้องนั้น ซึ่งเขาก็เข้าไปอาบน้ำ และก็ใส่เสื้อทีเชิ้ตแล้วก็ใส่ผ้าเช็ดตัว ผมก็นั่งดูทีวีอยู่ไม่ได้คิดอะไรเลย และตอนที่เหตุการณ์เกิดขึ้น ก็คือตอนที่เขาอยู่ในห้องน้ำพอดีเลย มันก็เลยดูเหมือนเขาแต่งตัวไม่เหมาะสม ก็อยู่แล้วเพราะเขากำลังอาบน้ำอยู่แค่นั้นเอง ซึ่งผมยังไม่มีแฟนใหม่ ตอนนี้ผมไม่กล้ามีแฟนเลยจริงๆ คือตั้งแต่เลิกกับก้อยไป ผมก็ไม่ได้มีคนใหม่เลย เข้าใจผิดกันจริงๆ”
บอกเตรียมดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด เพราะแฟนเก่าไม่เคยรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป หวั่นถ้ามีครั้งต่อไปตนอาจจะไม่มีโอกาสได้ออกมาพูดอย่างนี้อีก
“หลังจากนี้ผมก็คงดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่ เพราะสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันน่ากลัวที่สุดคือ ก้อยไม่รู้สึกว่าเขาทำอะไรผิดเลย นี่เป็นประเด็นที่สำคัญมาก เพราะครั้งแรกที่เขาทำไป เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาทำผิด เขาแค่บอกว่าเขาเอาของกลับไป และตอนนั้นเขาบอกว่าเหตุผลที่เขาเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเขาไปหาหมอและกินยาค่อนข้างเยอะ ผมก็โอเคนะที่เขาไม่รู้สึกผิดตอนนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขากินยา ก็พอเข้าใจได้ แต่ในครั้งนี้และวิธีที่เขาแถลงข่าว เขาไม่รู้สึกผิด ซึ่งผมก็กลัวว่ามันจะมีครั้งที่ 3,4,5 พูดตรงๆ ว่าถ้าเกิดมีครั้งต่อไป ผมไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมานั่งสัมภาษณ์อย่างนี้อีกหรือเปล่า นี่คือความกลัวที่ผมไม่ได้พูดเล่นนะ พูดจริงๆ”
“ซึ่งตอนนี้ที่หมู่บ้านผมติดภาพก้อยไว้ ห้ามให้เข้ามาในหมู่บ้านเด็ดขาดเลย และผมก็ล็อกกลอนทุกอย่าง เตรียมติดเหล็กดัดที่จะมาติดวันเสาร์นี้ แต่ระหว่างนี้ผมกลัวมาก ก็เอาทุกอย่างมาไว้ตรงกระจก เขาจะได้พังกระจกเข้ามาไม่ได้ ผมเปลี่ยนกลอนประตูแต่ละอันหมดเลย คือผมก็พยายามทำให้ตัวเองปลอดภัยที่สุดแล้วตอนนี้ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องมีการ์ดคอยดูแลหรอกครับ แต่ผมคงต้องระวังตัวมากขึ้น ล็อกบ้านมากขึ้น”
เผยหลังจากถูกโซดาไฟสาดใส่ คืนวันเดียวกัน “ก้อย” ยังส่งแมสเซจมาขู่ตนอีก เลยทำให้ตัดสินใจดำเนินคดีตามกฎหมาย และคิดว่าอดีตแฟนสาวคงจิตไม่ปกติจริงๆ
“ซึ่งหลังจากที่เขาเอาน้ำกรดมาสาดผมแล้ว คืนนั้นเขาก็แมสเซจมาขู่ผมอีกรอบนึง เป็นภาษาอังกฤษว่า I know where is your house LOL เขาบอกว่ารู้นะว่าบ้านคุณอยู่ไหน แล้วก็ทำเครื่องหมายหัวเราะ LOL เพราะตอนนั้นผมไปอยู่ที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ ตอนแรกผมก็จะไม่เอาเรื่องนะ จนเขาแมสแซจมา ผมก็เลยคิดว่าต้องดำเนินการ พอวันรุ่งขึ้นผมก็เลยไปแจ้งความ ผมไม่กล้าอยู่ที่บ้านแล้ว ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาบุกบ้านคุณพ่อคุณแม่ จะจ้างใครมาบุกหรือเปล่า”
“แต่ถามว่ารู้ไหมว่าเขาจิตไม่ปกติ คือจริงๆ ผมก็ไม่ใช่จิตแพทย์ ก็เลยไม่สามารถตอบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าบอกว่าเป็นเพราะความรัก ผมก็คิดว่าหลายคนก็เคยมีแฟน รักกันแล้วก็เลิกกัน แต่ทำไมในกรณีผมต้องโดนพังบ้านและโดนสาดน้ำกรดด้วย ผมเลยคิดว่านี่คือพฤติกรรมของคนไม่ปกติในความคิดของผมนะ คือคนเราเวลาเจอสถานการณ์อะไรสักอย่าง ที่เราควรจะโกรธมันก็จะมีประมาณนึง แต่ทางก้อยจะโกรธมากกว่าปกติ 10 เท่า ซึ่งเขาเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ถามว่าผมเคยทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจไหม ไม่เคยเลยครับ ผมไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย”
“แต่มีอยู่ช่วงนึงที่ผมรู้สึกว่าเขาเป็นค่อนข้างมากแล้ว เป็นหนักมาก ผมก็เริ่มกลัวว่าจิตของเขาจะปกติไหม ผมก็เลยพาเขาไปหาหมอ ซึ่งผมพาไปจริงๆ ผมก็ไปนั่งรออยู่ และค่าหมอผมก็เป็นคนจ่ายด้วย และยาที่ได้มาก็คือ เป็นยาของคนที่เป็น “บายโพลา” คือคนที่มีอาการอารมณ์แปรปรวนค่อนข้างมากทางเคมี”
ผู้จัดการส่วนตัว : “แต่เรื่องนี้เราถามทางศาลแล้วว่า ถ้าเกิดสรุปว่าเขามีความผิดปกติทางจิตจริงๆ ก็คือรักษาให้หายแล้วก็ไปเข้าคุก รับโทษต่อไป”
แดน : “จริงๆ ผมไม่อยากไปทำโทษอะไรเขามาก ผมอยากให้ก้อยหาย เพราะผมรู้สึกว่าถ้าไม่แค่ผม คราวหน้าก็ต้องเป็นผู้ชายคนต่อไปที่เขาคบ ผมก็เลยรู้สึกว่านี่เป็นอะไรที่น่าจะอันตราย และพ่อแม่สอนผมตลอดว่าอย่าเคียดแค้นคน ตอนแรกผมไม่อยากแค้นใครเลย ไม่อยากแจ้งความด้วยซ้ำ ผมแค่อยากให้เหตุการณ์นี้มันจบ แต่รู้สึกว่ามันจะไม่จบ ก็เลยคิดว่าเรื่องนี้น่าจะอยู่ในมือของคนที่ดูแลเหตุการณ์นี้ได้ดีกว่า ซึ่งก็น่าจะเป็นทางตำรวจทางกฎหมายดีกว่า”
ผู้จัดการส่วนตัว : “วันที่เราไปลงบันทึกประจำวันไว้ ซึ่งเขาต้องมารับทราบข้อกล่าวหา พี่สาวเขาก็เลยมาด้วย และในสิ่งที่เขาบอกว่ามีแค่หยิบกระเป๋าผิดไป อันนี้มันจะเป็นหลักฐานทั้งหมดหลายรายการที่เขาหยิบไป(หยิบหลักฐานขึ้นมาโชว์) มันไม่ใช่อย่างที่เขาแถลงเลย 10 กว่ารายการนี่มันจงใจแล้ว”
แดน : “คือบางอย่างก็เอาไปเพื่อทำให้ชีวิตผมไม่มีความสะดวกสบาย อย่างเอาสูทไป เครื่องแต่งหน้าของผมไป แต่ของทุกอย่างที่เขาเอาไปก็คือสิ่งที่ผมซื้อเองทั้งหมดครับ ไม่มีสิ่งที่เขาซื้อให้เลย”
ผู้จัดการส่วนตัว : “ถ้าคนปกติเขาคงไม่ทำแบบนี้นะคะ ตอนนี้ก็มีการนัดสืบพยานแล้วเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ศาลแขวงรัชดา และทางเพื่อนแดนที่เป็นคนต่างชาติก็ไปขึ้นศาลแล้ว ไปสืบพยานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางศาลเองก็ตามตัวคุณก้อยให้ไปขึ้นศาล แต่ว่าเขาไม่ยอมไป ก็จะตาม 2 ครั้ง ถ้าไม่ไปก็แจ้งหมายจับ”
แดน : “ระหว่างนี้คงไม่ได้มีการคุยกันครับ เพราะผมล็อกเบอร์เขาแล้ว ผมกลัวมาก ไม่ได้พูดเล่นนะ ผมกลัวจริงๆ คือตอนนี้ผมมีเพื่อนที่เป็นผู้ชายมาคอยอยู่กับผมตลอด เพราะผมคิดว่าอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้จริงๆ ผมกลัวจริงๆ เลย เขาก็ไม่ได้ติดต่อมาทางคนรอบข้างผมนะครับ ตอนนี้สิ่งที่ผมป้องกันตัวเองได้ก็คือ พยายามล็อกบ้านทุกอย่างให้ดีที่สุด และกำลังจะติดที่ตรวจจับไฟ เพราะผมกลัวว่าเดี๋ยวเขาจะมาเผาบ้าน เพราะนี่คือสิ่งที่เขาเคยขู่ไว้เหมือนกันว่า เขาจะมาเผาบ้าน และอีกอย่างผมกำลังจะติดสัญญาณกันขโมยด้วย และอาจจะติดกล้อง CCTV ไว้ในบ้าน ก็น่าจะปลอดภัยได้เต็มที่แล้ว”
“แต่ถ้าถึงที่สุดก็กำลังคิดว่าจะย้ายบ้านเลย อาจจะต้องขายบ้านแล้ว เพราะว่าค่อนข้างที่จะไม่สบายใจที่จะอยู่ที่นี่เลยครับ คือเมื่อช่วงหลังเหตุการณ์ประมาณวันพฤหัสบดี ผมรู้สึกเครียดมาก จนรู้สึกว่าแผลมันเริ่มไม่หาย ผมเลยไปอยู่กับพี่ชายที่พังงา และแผลก็ค่อนข้างดีขึ้นเห็นชัดเจนเลยว่า หน้าผมเริ่มเป็นสะเก็ดเร็วขึ้น เพราะตอนแรกมันจะเริ่มเน่าๆ นิดนึงแล้ว จนพอผมไปจิตใจมันก็เริ่มสบายขึ้น หน้าก็ดีขึ้นเยอะเลยภายใน 4-5 วันครับ”
แมสเซจที่อ้างว่าก้อยส่งมาขู่
“ก้อย แพรวพันธุ์ สมพงษ์มิตร” ในวันแถลงข่าว
ที่มา: manager.co.th