"หวังเทียนหลิน" ผู้กำกับระดับตำนานแห่งวงการบันเทิงฮ่องกง ได้สิ้นลมลงด้วยวัย 82 ปี ปิดตำนานผู้กำกับระดับตำนานที่มีบทบาทอย่างสูง ทั้งในแวดวงภาพยนตร์ และโทรทัศน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของหนังจีนชุดจากทีวีบีเมื่อหลายสิบปีก่อน
เมื่อประมาณ 4 ทุ่มของคืนวันที่ 16 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่นของฮ่องกง ผู้กำกับชื่อดัง หวังจิง ได้ส่งแฟ็กส์ไปถึงหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เพื่อแจ้งข่าวการเสียชีวิตของบิดา หวังเทียนหลิน ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง/นักเขียน/นักแสดง ซึ่งจากไปเมื่อประมาณเวลา 8:30 น. ที่โรงพยาบาล แบปติสต์ เขากล่าวว่าพ่อเข้ารับการรักษาตัวมามากกว่า 1 ปี แต่ระยะหลังอาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียชีวิตจากภาวะอวัยวะภายในล้มเหลวหลายระบบ ท่านเสียชีวิตขณะที่ยังคงหลับ และมีลูกหลายอยู่เคียงข้างในวาระสุดท้าย
ชายสูงวัยร่างท้วมเป็นที่รู้จักจากบทบาทอันหลากหลาย เขาเป็นบิดาของ "หวังจิง" ผู้กำกับคนดัง, เป็นนักแสดงตัวประกอบผู้สร้างสีสันให้กับหนังมากมาย, เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ระดับคลาสสิค และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ของหนังจีนชุดทางโทรทัศน์จากบริษัททีวีบี เมื่อยุค 70 - 80 นอกจากนั้นยังเป็นผู้ผลักดันคนทำหนังชื่อดังอย่าง หลินหลิมตง, ตู้ฉีฟง, เหว่ยเจียฮุย ให้ก้าวหน้าโด่งดังขึ้นมาในวงการ
"หวังเทียนหลิน" ผู้ถือคติสร้างงานเพื่อทุกคน หาใช่สนองตัณหาส่วนตัว
หวังเทียนหลิน เกิดที่เซียงไฮ้ ในครอบครัวที่มีรกรากเดิมจาก เส้าซิง ในเจ้อเจียง ชายชราที่คนในแวดวงบันเทิงมักเรียกชื่อด้วยความสนิทสนมวา 'ลุงเทียนหลิน' เดินทางมาฮ่องกงเมื่อปี 1935 จนกระทั่งได้เริ่มงานในวงการเมื่อปี 1947 กับตำแหน่งผู้ช่วยเบ็ดเตล็ดที่ทำงานหลายอย่าง ทั้งเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ และทำงานในห้องบันทึกเสียง รวมถึงงานจิปาทะอีกหลายประเภทตามแต่นายจ้างจะมอบหมาย
ในเวลาเพียง 3 ปี หวังเทียนหลิน ได้กำกับหนังเรื่องแรกที่มีชื่อว่า The Flying Sword Hero From Emei Mountain ขณะที่มีอายุเพียง 22 ปีเท่านั้น แต่หนังก็ยังประสบความสำเร็จด้วยดี จนหวังเทียนหลินได้เป็นผู้กำกับอย่างเต็มตัว จนได้ย้ายไปทำงานกับบริษัทภาพยนตร์เจ้าใหญ่ขณะนั้นที่มีชื่อว่า MP&GI และมีผลงานตามออกมาอีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นหนังรักและหนังเพลงตามยุคสมัย แต่ก็เป็นงานที่สะท้อนชีวิตของคนยุคนั้นได้ดี อาทิ The Wild, Wild Rose, Because of Her, Songs of the Peach Blossom River สำหรับผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเขาก็คือ เรื่องราวตลกชวนหัวที่พูดถึงความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งเกลียด ของคนเหนือและคนใต้ ในหนังอย่าง The Greatest Civil War on Earth และ The Greatest Wedding On Earth
ช่วงระยะเวลาหลายสิบปีในวงการ เขากำกับภาพยนตร์ไปกว่า 130 รวมถึง All in the Family ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเอเชียครั้งที่ 7 ถึงปัจจุบัน หวังเทียนหลิน ถูกยกย่องให้เป็นผู้กำกับที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ฮ่องกง และได้รับความเคารพจากคนในวงการทุกคน
หอภาพยนตร์ฮ่องกงได้ย่องคนทำหนังผู้นี้ ว่าเป็นคนทำหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ฮ่องกงคนหนึ่ง เขาอาจจะไม่ได้โด่งดังในต่างประเทศ หรือมีชื่อในตำราภาพยนตร์เหมือนกับผู้กำกับร่วมรุ่นอย่าง จางเชอะ และ หูจวินฉวน แต่ก็เป็นผู้กำกับที่มอบความบันเทิงให้กับชาวฮ่องกงทุกชนชั้นมาตลอดกว่า 60 ปีของการทำงาน
"ตั้งแต่หน้าที่คนงานในกองถ่าย, เขียนบท จนไปถึงผู้กำกับ และนักแสดง หวังเทียนหลิน ทำงานในหนังทุกประเภท กำลังภายใน, เรื่องราวบีบน้ำตา, โรแมนติก, ตลก, เพลง, งิ้ว ทั้งในภาษาจีนกลาง, ภาษาเอ้หมึง และกวางตุ้ง การทำงานกว่า 60 ปี ด้วยความเป็นมืออาชีพคือกุญแจสำคัญในอาชีพของท่าน เป็นการทำงานซึ่งไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับการแสดงออกความเป็นส่วนตัว เพียงแต่ต้องการมอบความบันเทิงให้กับคนทุกชนชั้น" เป็นข้อความยกย่องจากเอกสาร ที่หอภาพยนตร์ฮ่องกงแจก ในการจัดฉายหลังเก่า ๆ ของเขาเมื่อ 2 ปีก่อน
เส้นทางโทรทัศน์ ความสำเร็จที่ทีวีบี
ในยุค 70s เกิดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ขึ้นมากมายในวงการภาพยนตร์โดยเฉพาะความรุ่งเรืองของหนังกำลังภายใน และบริษัท ชอว์บราเดอร์ หวังเทียนหลิน ที่ทำหนังกับบริษัทไม่ใหญ่นัก จึงได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ จนช่วงหนึ่งเขาถึงกับตกงานอยู่ 17 เดือนติดต่อกันเลยทีเดียว จนกระทั่งมีเพื่อนสนิทในวงการแนะนำงานที่สถานีโทรทัศน์ทีวีบีให้ เขาจึงได้งานเป็นโปรดิวเซอร์ และเริ่มต้นเส้นทางในวงการโทรทัศน์ที่นั่น
ที่ทีวีบีผู้กำกับคนเก่งใช้ความถนัดในทางภาพยนตร์ ปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอ และการถ่ายทำหนังชุดทางโทรทัศน์ของบริษัท จนผลิตหนังชุดที่ประสบความสำเร็จออกมามากมาย อาทิ ฝันสลาย (Yesterday's Glitter, 1980), Love and Passion (1980) และ คมเฉือนคม (The Shell Game, 1980) ที่สร้างให้นักแสดงอย่าง เจิ้งเส้าชิว, เซียะเสียน และ หวังหมิงฉวน ได้โด่งดังขึ้นมาเป็นดาวค้างฟ้า
ต่อมาเขานั้นยังเป็นผู้ผลักดันให้เกิดยุคทองของหนังจีนชุดแนวกำลังภายใน โดยเฉพาะการรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ผลงานระดับคลาสสิคหลายเรื่อง ตั้งแต่ จอมใจจอมยุทธ (The Legend of the Book and the Sword, 1978) และ ชอลิ้วเฮียง ฉบับที่มี เจิ้งเส้าชิว เป็นผู้แสดงนำ, มังกรหยก (1983, The Legend of the Condor Heroes), ดาบมังกรหยก (1986, New Heavenly Sword and Dragon Sabre) และ ยุทธจักรชิงเจ้าบัลลังค์ (The 1983, Foundation) เป็นต้น
จนกระทั่งมีวัยล่วงเลยได้ 60 ปี ในช่วงยุค 90 เขาจึงตัดสินใจเกษียณตัวเอง แต่สุดท้ายด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องนั่งอยู่เฉย ๆ ที่บ้านโดยไม่มีอะไรทำ กลายเป็นแรงผลักดันให้ หวังเทียนหลิน หวนคืนสู่วงการ กับการรับงานแสดง และกลายเป็นนักแสดงตัวประกอบที่มีผลงานการแสดงหลายสิบเรื่อง โดยมีภาพยนตร์เรื่อง Corrupt All Cops เป็นผลงานการแสดงเรื่องสุดท้าย
'ตู้ฉีฟง' รำลึกถึงครูใหญ่แห่งวงการบันเทิงฮ่องกง
หวังเทียนหลิน ไม่เพียงเป็นคนเบื้องหน้า หรือคนเบื้องหลัง เขายังเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ นอกจากบุตรชายอย่าง หวังจิง ที่ได้กลายเป็นผู้กำกับคนดังในวงการแล้ว หวังเทียนหลิน ยังมีบทบาทช่วยส่งเสริมให้คนหนุ่มหลายคน ได้ก้าวหน้าและกลายเป็นผู้กำกับแถวหน้าของวงการในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ทำงานอยู่ในสถานีโทรทัศน์ทีวีบี
ตู้ฉีฟง เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ก้นกุฏิของ หวังเทียนหลิน กล่าวถึงการเสียชีวิตของครูด้วยความเศร้า จนไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ในการพูดคุยกับผู้สื่อข่าว "ลุงเทียนหลินเป็นเหมือนพ่อคนที่สองของผม เราพบกันเมื่อปี 1973 ที่ทีวีบี จนผมได้เป็นผู้กำกับและได้ทำหนังหลายเรื่องที่มีเขาเป็นนักแสดง มันเป็นเวลามากกว่า 30 ปี ที่พวกเรารู้จักกัน และใช้เวลาด้วยกันอยู่เสมอ"
"ตอนผมไปเยี่ยมลุงเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ท่านมองมาที่ผมและถามว่านี่คือใคร แล้วพูดว่าอยากจะขอนอนหลับพักผ่อน ผมกับหลินหลิมตง (ผู้กำกับชื่อดัง) จึงเดินทางกลับเพราะไม่อยากจะรบกวนเวลาพักผ่อนของเขา หวังจิง บอกว่าพ่อของเขาจากไปอย่างสงบ และเสียชีวิตขณะที่กำลังหลับจึงไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดอะไร"
ในปี 1990 ที่ หวังเทียนหลิน ขอเกษียณอายุตัวเอง ลูกศิษย์หลายคนร่วมกันสร้างหนังเพื่ออุทิศให้กับการทำงานตลอดชีวิตของเขา หนังเรื่องนั้นก็คือ ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ (A Moment of Romance) งานแนวโรแมนติกอันลือลั่นนั่นเอง หนังดังแห่งปี 1990 มี ตู้ฉีฟง, หลินหลิมตง และหวังจิง ร่วมกันวางแผนสร้าง มอบบทนำให้ หลิวเต๋อหัว, อู๋เชี่ยนเหลียน และมีผู้กำกับคือคนทำหนังหน้าใหม่ เฉินมู่เซิง ที่เคยกำกับหนังจีนชุดเรื่อง จิ้งจอกภูเขาหิมะ ของทีวีบี ซึ่งมี หวังเทียนหลิน เป็นคนดูแลงานสร้างมาก่อน
ตู้ฉีฟง เล่าเบื้องหลังของหนังในตำนานเรื่องนั้นว่า "เราต้องการสร้างหนังเพื่ออุทิศให้กับอาชีพของ หวังเทียนหลิน แต่คงจะสร้างหนังที่มาจากชีวิตของท่านไม่ได้ จึงเลือกที่จะสร้างหนังเรื่องนึงขึ้นมา และมอบเงินรายได้จากหนังเรื่องนั้นให้กับลุงเทียนหลินแทน เป็นเหมือนกับของขวัญสำหรับการเกษียณ เรื่องราวจึงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย แค่หวังว่ามันจะทำเงินได้มาก ๆ ก็พอแล้ว"
ผู้กำกับยอดฝีมือเล่าย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต กับจุดเปลี่ยนที่ทำให้มีวันนี้ ซึ่ง 'ลุงเทียนหลิน' ของเขามีบทบาทอย่างสูงต่อความสำเร็จต่างๆ ที่เกิดขึ้น "ท่านไม่ใช่เป็นเพียงครู แต่ยังเป็นคนที่เปลี่ยนชีวิตของผม ถ้าไม่มี หวังเทียนหลิน ก็ไม่มี ตู้ฉีฟง ในวันนี้ ด้วยการศึกษาเพียงชั้นมัธยมของผม มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เป็นผู้กำกับของทีวีบี โอกาสของผมมันน้อยมาก แต่ลุงเทียนหลินยืนยันกับบริษัทว่าควรให้โอกาสกับผม ลุงคือผู้มีพระคุณของผม"
"ตอนที่ผมทำงานกับ หวังหมิงฉวน แทบทุกวันท่านจะย้ำว่าอย่าไปโต้เถียงอะไรกับเธอ ซึ่งผมก็ทำตาม แม้ผมกับเธอจะมีอะไรไม่ลงรอยกันบ้าง มันเป็นความลับที่มี ผม, ลุงเทียนหลิน และหวังหมิงฉวน รู้กันเท่านั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ผ่านกันมา งานที่มีคนดูมากมาย และพวกเขายังจดจำได้เสมอ ลุงเทียนหลินจากไปแล้ว แต่ชีวิตของท่านได้สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมากมาย ผมยินดีเหลือเกินที่ได้ชวนท่าน ให้กลับมาเล่นหนังอีกครั้ง ลุงเทียนหลินคิดถึงชีวิตในกองถ่ายเสมอ แม้ว่าท่านจะบอกกับผมอยู่ตลอดเวลา ว่าแทบไม่เข้าใจหนังเรื่อง The Mission ของผมเลย ถึงอย่างไรมันถือเป็นความทรงจำที่ดี"
ผู้กำกับยอดฝีมือยังเล่าถึงครั้งที่เขา และหวังเทียนหลิน เดินทางไปเมืองคานส์เพื่อนำหนังเรื่อง Election ไปฉาย ตู้ฉีฟง เล่าว่าเขาบอกกับลุงเทียนหลินว่า การสั่งสอนของลุงคือสิ่งที่พาเขามาถึงเทศกาลหนังที่ใหญ่ที่สุดของโลกครั้งนั้น "ในตอนนั้นเรา 7 หรือ 8 คนเดินกันมาในชุดทักซิโด้สีดำ หนึ่งในกลุ่มคือชายแก่ผมหงอกร่างท้วม คนฝรั่งเศสนึกว่าลุงเป็นเจ้าพ่อมาเฟียแบบในหนัง ถึงกับเดินมาถาม ซึ่งได้ฟังแล้วลุงเทียนหลินถึงกับดีใจมาก"
การเดินทางไปเมืองคานส์ครั้งนั้น ถือเป็นประสบการณ์ที่ผู้กำกับผู้ล่วงลับรู้สึกประทับใจมาก ตู้ฉีฟง เผย "ในฐานะเป็นผู้กำกับหนังคนหนึ่ง ท่านบอกว่าดีใจมากที่สุด ที่สุดท้ายก็ได้เหยียบเมืองคานส์เสียที เราทุกคนเป็นคนทำหนัง เป็นส่วนหนึ่งของโลกภาพยนตร์ ท่านรู้สึกว่านั้นคือเกียรติที่ได้รับ" ตู้ฉีฟง ยังตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเรื่องพิธีศพว่า หวังจิง จะเป็นผู้จัดการดูแลทั้งหมด แต่สำหรับเขาการจดจำผลงานของท่านเอาไว้ คือสิ่งที่มีค่ามากกว่า
ที่มา: manager.co.th