ซัมซุง เสริมทัพกลุ่มธุรกิจไอทีครั้งใหญ่ ตั้งเป้า 'โน้ตบุ๊ก' แหล่งรายได้อนาคต หลังตลาดเติบโตแซงหน้าพีซี พร้อมสร้างสถิติเบอร์หนึ่งตลาดแอลซีดีมอนิเตอร์ต่อเป็นปีที่ 6 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 32% ด้วยจุดขายพรีเมียมเทคโนโลยี เปิดตัวจอขนาดใหญ่รุ่นใหม่ 2 ซีรีส์ เจาะลูกค้าระดับกลางถึงบน พร้อมตั้งทีม marketing intelligence ปรับรีเทลชอปทั่วประเทศ
บุญเลิศ วิบูลย์เกียรติ หัวหน้ากลุ่มธุรกิจไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคทรอนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ ในกลุ่มธุรกิจไอที ได้เพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาเสริมการทำตลาดภายหลังจากที่ทางบริษัทฯ ได้มีการปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์ภายในบริษัทเมื่อปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มธุรกิจไอที ประกอบไปด้วย จอมอนิเตอร์ โอดีดี หรือออฟติคอลดิสก์ เลเซอร์พรินเตอร์ โทนเนอร์ มอนิเตอร์ขนาดใหญ่ หรือแอลเอฟดี แต่ในปีนี้กลุ่มธุรกิจไอทีเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 6 ไลน์ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ โปรเจกเตอร์ โฟโต้เฟรม แคมคอร์เดอร์ กล้องดิจิตอล และเครื่องเล่นเอ็มพี 3
'จริงๆ แล้วไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใหม่เสียทีเดียว บางส่วนย้ายมาจากกลุ่มคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับสินค้าใหม่ที่นำเข้ามาทำตลาดปีนี้คือ โปรเจกเตอร์ โฟโต้เฟรม และโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อหลายปีก่อน ซัมซุงเคยทำตลาดและได้หยุดไป'
สาเหตุที่ทางซัมซุงเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มธุรกิจไอทีปีนี้นั้น บุญเลิศ อธิบายว่า เป็นเพราะปีที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจไอทีเติบโตขึ้นเยอะมาก การเพิ่มสินค้าใหม่จะช่วยเพิ่มการเติบโตของรายได้และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ โดยปีที่แล้ววางโครงสร้างและช่องทางจำหน่ายไว้ครอบคลุมแล้ว ปีนี้ก็จะใช้ช่องทางที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์
'ถึงแม้ว่า ปีนี้จะเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ซัมซุงมองเป็นโอกาส เพราะซัมซุงมีความพร้อมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาร์แอนด์ดี ความพร้อมในกำลังการผลิต การมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง และการสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง'
อย่างกรณีการนำโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์กลับเข้ามาทำตลาดใหม่อีกครั้งนั้น เป็นเพราะว่า ธุรกิจโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์จะเป็นแหล่งรายได้สำคัญให้กับกลุ่มธุรกิจไอที เนื่องจากตลาดโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์เป็นตลาดขนาดใหญ่ โดยมีการคาดการณ์เอาไว้ว่า ปีนี้จะเป็นปีแรกที่ยอดขายของโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์จะมากกว่ายอดขายของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
'ทางซัมซุงจะเริ่มทำตลาดโน้ตบุ๊กในไทยประมาณเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ โดยจะมีไลน์ผลิตภัณฑ์ที่ครบครัน มีทั้งเน็ตบุ๊ก จนถึงเครื่องระดับราคาพรีเมียมแมส โดยจะเป็นการวางรากฐานสำหรับการบุกตลาดอย่างจริงจังในปีหน้า แต่สินค้าที่สร้างรายได้หลักในช่วง 1-2 ปีนี้จะยังคงเป็นจอมอนิเตอร์ถึง 65% ของรายได้ทั้งกลุ่มธุรกิจไอที'
บุญเลิศ ได้กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจจอภาพแอลซีดีมอนิเตอร์ในประเทศไทยปีนี้ว่า ขนาดตลาดรวมน่าจะอยู่ที่ 1,800,00 จอ โดยปีนี้เป็นครั้งแรกที่ขนาดตลาดโน้ตบุ๊กมีจำนวนมากกว่าคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป ทำให้ซัมซุงมองเห็นโอกาสในการสร้างการเติบโตในตลาดที่น่าจะมีการขยายตัวของมอนิเตอร์จอที่ 2 สำหรับผู้ใช้งานโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์
โดยทางซัมซุงได้เปิดตัวแอลซีดีมอนิเตอร์ใหม่ 2 ซีรีส์ ได้แก่ ซัมซุง 70 ซีรีส์ ที่มีอัตราความคมชัดสูงสุดแบบ Dynamic Contrast อยู่ที่ 50,000:1 แสดงภาพแบบไวด์สกรีน ในอัตราส่วน 16:9 ให้คุณภาพคมชัดระดับฟูลเอชดีที่ความละเอียด 1,080 พิกเซล มาพร้อมดีไซน์สวยหรูเหมาะกับการตกแต่งสำหรับทุกห้องในบ้าน หรือที่ทำงาน สามารถเล่นภาพวิดีโอประสิทธิภาพเยี่ยมไม่มีติดขัด ด้วยอัตราตอบสนองสูงสุด 2 มิลลิวินาที มีให้เลือก 3 ขนาด ประกอบด้วย 20 นิ้ว 21.5 นิ้ว และ 23 นิ้ว
จุดเด่นอีกประการของ 70 ซีรีส์ก็คือ เรื่องของดีไซน์ที่บางเฉียบเพียง 30 มิลลิเมตร และยังช่วยประหยัดพลังงานถึง 33% จากการลดจำนวนหลอดภาพภายในจาก 4 หลอดเป็น 2 หลอด อีกทั้งยังมีปุ่มควบคุมแบบ Star Light Touch เอกสิทธิ์จากซัมซุงที่กะพริบไฟเฉพาะเวลาสัมผัสเพื่อการใช้งาน
นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวแอลซีดีมอนิเตอร์ 'แล็ปฟิตซีรีส์' 2 รุ่น คือ LD 190G กับ LD 220G รองรับความต้องการในตลาดใหม่สำหรับผู้บริโภคที่ใช้มอนิเตอร์หน้าจอที่สองคู่กับการใช้งานเครื่องโน้ตบุ๊ก มาพร้อมดีไซน์สวยหรูสีดำมันวาว และขาตั้งที่ออกแบบมาให้อยู่ด้านหลังแบบกรอบรูปตั้งโต๊ะ สามารถปรับระดับการเงยหน้าจอขึ้นได้ 10-30 องศา ให้อยู่ในระดับการมองเห็นเดียวกับโน้ตบุ๊ก ทำให้สามารถใช้งานหน้าจอที่สองร่วมกับโน้ตบุ๊กได้อย่างอิสระและรวดเร็ว ด้วยโซลูชั่นอัจฉริยะ 'UbiSyncTM' เทคโนโลยีจากซัมซุงที่ช่วยให้การแสดงผลแบบหลายหน้าจอเป็นไปได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องใช้กราฟิกการ์ดหรือซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน
'ปีนี้ซัมซุงจะออกแอลซีดีมอนิเตอร์ใหม่ 4 ซีรีส์ ประมาณ 10-12 รุ่น แบ่งเป็นครึ่งปีแรก 2 ซีรีส์ ครึ่งปีหลังอีก 2 ซีรีส์'
'แนวโน้มการเติบโตของผลิตภัณฑ์แอลซีดีมอนิเตอร์ระดับพรีเมียมก็ยังได้รับความนิยมสูงอยู่อย่างต่อเนื่อง'
ปีที่ผ่านมา ทางซัมซุงประสบความสำเร็จอย่างสูงในกลุ่มผลิตภัณฑ์แอลซีดีมอนิเตอร์ โดยยังคงรั้งตำแหน่งผู้นำตลาดโลกในด้านยอดขายอันดับหนึ่งต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 18% และเป็นปีที่ 5 ในประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งการตลาด 27% โดยมียอดขายรวมกว่า 470,000 จอ
'ส่วนในปีนี้ซัมซุงมั่นใจว่าจะสามารถรักษาแชมป์ในกลุ่มธุรกิจจอมอนิเตอร์ได้ต่อไป ด้วยการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 32% ด้วยยอดรวมทั้งสิ้น 580,000 เครื่อง ซึ่งปีที่แล้วมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 27.4%'
บุญเลิศ กล่าวอีกว่า ตลาดรวมแอลซีดีมอนิเตอร์ปีที่ผ่านมามีการเติบโต 18% แต่คาดว่าปีนี้จะมีการเติบโตลดลงเหลือ 6% หรือประมาณ 1,800,000 จอ สืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบให้ความต้องการในตลาดลดลง ผู้บริโภคมีการยืดอายุการใช้งานสินค้านานขึ้น และตัดสินใจซื้อสินค้าน้อยลง นอกจากนี้ มูลค่าตลาดรวมอาจจะลดลงจากปีที่แล้วที่มีมูลค่า 11,000 ล้านบาท เหลือเพียง 10,500 ล้านบาท เป็นผลมาจากระดับราคาเฉลี่ยลดลงปีละ 10-15% ทำให้ปัจจุบันจอแอลซีดีขนาด 18 นิ้ว ราคาอยู่ที่ 4,000-5,000 บาท จากเดิมราคา 5,000 กว่าบาท
'ปีที่ผ่านมา ซัมซุงมีส่วนแบ่งการตลาดแอลซีดี 27.4% และปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 32% หรือ 5.8 แสนเครื่อง'
บุญเลิศ กล่าวถึงกลยุทธ์ที่จะใช้ขยายตลาดแอลซีดีมอนิเตอร์ในปีนี้ว่า จะเน้นกลุ่มสินค้าระดับกลางถึงบนมากขึ้น และเน้นการทำตลาดจอขนาดใหญ่ประมาณ 20 นิ้วขึ้นไป เพราะทิศทางการใช้งานของตลาดมีความต้องการใช้จอขนาดใหญ่มากขึ้น ขณะเดียวกันเพื่อเพิ่มรายได้ของซัมซุงให้สูงขึ้นด้วย พร้อมกันนี้จะเพิ่มโฟกัสกลุ่มเซกเมนต์เอนเตอร์เทนเมนต์ จากเดิมที่เน้นกลุ่มโฮมยูส เกมเมอร์ และผู้ใช้โปรเฟสชันนัลเป็นหลัก
'ปีนี้ สัดส่วนของจอขนาดใหญ่ตั้งแต่ 20 นิ้วขึ้นไปมีประมาณ 15% ของตลาดรวม จากปีที่แล้วมีสัดส่วน 7%'
นอกเหนือจากกลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์แล้ว บุญเลิศ ยังกล่าวถึงกลยุทธ์ทางด้านช่องทางการขายซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายว่า ปีนี้ซัมซุงจะเน้นหนักไปที่การร่วมมือกับคู่ค้าธุรกิจในการจัดกิจกรรมการตลาดและเสนอแคมเปญพิเศษต่างๆ เพื่อเป็นการมอบประสบการณ์ตรงและคืนกำไรให้กับผู้บริโภค โดยจะมีการปรับดิสเพลย์หน้าร้านให้มีความน่าดึงดูดใจและมีผลิตภัณฑ์สาธิตที่สามารถทดสอบการใช้งานจริงได้ นอกจากนี้ยังมีการมุ่งพัฒนาทักษะพนักงานขายให้สามารถอธิบายข้อมูล และให้ความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ต่างๆ แก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้พนักงานขายทุกคนสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
'ปีนี้ได้ตั้งทีมงานใหม่ที่เรียกว่า marketing intelligence ขึ้นมา สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลการขายในเชิงลึกและรายละเอียดมากขึ้น เพื่อปรับปรุงรีเทลชอปที่มีทั่วประเทศกว่า 1,500 แห่ง ในการสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น โดยทีมงานดังกล่าวจะช่วยให้รู้ว่า หน้าร้านแต่ละร้านเป็นอย่างไร เพื่อนำมาใช้วางแผนปรับปรุงต่อไป'
ที่มา: manager.co.th