สถานการณ์ของตลาด "เน็ตบุ๊ก" ดูจะไม่สดใสเมื่อมีการประเมินสถานการณ์กันเมื่อปีที่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อระดับราคาของโน้ตบุ๊กลดลงมาอย่างฮวบฮาบจนระดับราคาลงมาอยู่ที่ หมื่นต้นๆ ทำให้โอกาสในการทำธุรกิจของเน็ตบุ๊กได้รับผลกระทบไปด้วย
"เน็ตบุ๊ก" ถือเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ของตลาดในการเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องที่ 2 สำหรับพกพาไปในที่ต่างๆ แต่ไม่ใช่การทดแทนเครื่องเก่า
ช่วงปีที่ผ่านมากระแสของ "เน็ตบุ๊ก" นับว่าแรงมากเพราะตอบโจทย์ในด้านราคาระดับหมื่นต้นๆ น้ำหนักเบาไม่ถึง 1 กิโลกรัม พกพาสะดวก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เกือบทุกรายประกาศเปิดตัว "เน็ตบุ๊ก" หรือ "มินิโน้ตบุ๊ก" กันถ้วนหน้า แบบว่าเป็นตลาดใหม่เนื้อหอมที่ไม่สามารถทิ้งโอกาสไปได้
2 ค่ายที่มุ่งมั่นในการทำตลาด "เน็ตบุ๊ก" อย่างจริงจังก็คือ "อัสซุส" ที่เป็นผู้บุกเบิกตลาดนี้มาก่อนใคร และอีกรายก็คือ "เอเซอร์" ที่โดดเข้ามาทำตลาดและสร้างกระแสความร้อนแรงให้กับตลาดเน็ตบุ๊กในทันที เพราะด้วยความที่เป็นยักษ์ใหญ่ มีความพร้อมทั้งในแง่ช่องทางการจัดจำหน่าย และสินค้าที่ออกสู่ตลาดให้ลูกค้าเลือกหลายโมเดลและหลากสีสัน ทำให้เอเซอร์ตั้งเป้าที่จะครองอันดับหนึ่งของตลาดเน็ตบุ๊กอีกหนึ่งตลาด
แต่สถานการณ์ตลาดปีนี้เปลี่ยนไป...
"นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ" ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวยอมรับกระแสของเน็ตบุ๊กไม่แรงเหมือนที่คาดหวังไว้ โดยเฉพาะในงาน
คอมมาร์ตเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมายอดขายลดลง 15% เมื่อเทียบกับคอมมาร์ตปลายปีที่ผ่านมา ผลจากราคาโน้ตบุ๊กที่ถูกลงทำให้คอนซูเมอร์หันมาซื้อโน้ตบุ๊กแทน และโพซิชันนิ่งของเน็ตบุ๊กเน้นเจาะกลุ่มผู้ต้องการคอมพิวเตอร์เครื่องที่ 2 สำหรับการพกพา ซึ่งไม่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่คนต้องประหยัดจึงไม่ซื้อสินค้าใหม่ ทำให้การตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร
เช่นเดียวกับ "พรเทพ วัชรอำนวย" กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภาพรวมตลาดเน็ตบุ๊กช่วงต้นปีชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยอีอีอีพีซีของอัสซุสมียอดขายลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงปี 2551 ส่วนหนึ่งเพราะโน้ตบุ๊กมีการปรับราคาลงมาใกล้เคียงกับเน็ตบุ๊ก ปัจจุบันราคาโน้ตบุ๊กต่ำสุดของแต่ละแบรนด์เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 หมื่นบาท ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรุ่น ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อโน้ตบุ๊กมากขึ้น
นอกจากนี้ตลาดเน็ตบุ๊กยังจำกัดในการใช้งานที่แตกต่างจากโน้ตบุ๊ก โดยเน็ตบุ๊ก ระดับราคา 9,900-12,900 บาท จะเป็น กลุ่มที่ได้รับความนิยม แต่ถ้ารุ่นราคาสูงกว่านี้ก็จะขายยาก
แผนของอัสซุสเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว คือ การเพิ่มช่องทางจำหน่าย นอกเหนือจากร้านไอที เช่น การนำสินค้าจำหน่ายตามร้านขายสินค้าเอวี, ร้านหนังสือ และร้านขายของเล่นทอย อาร์ อัส เป็นต้น
พร้อมกับปรับแผนการทำตลาดอีอีอีพีซีใหม่ หากเป็นรุ่นเมนสตรีมจะหาวิธีการกระตุ้นตลาดมากขึ้น สำหรับรุ่นไฮเอนด์ก็จะเลือกวางเฉพาะร้านค้าที่เหมาะสม เช่น วางที่ร้านในสนามบินเพื่อเจาะกลุ่มชาวต่างชาติ
สำหรับผู้ผลิตรายอื่นๆ อาจได้รับผลกระทบไม่มากเพราะไม่ได้ทุ่มทำตลาดจริงจัง เพียงแค่มีสินค้าเข้ามาเป็นทางเลือกให้ลูกค้าเพื่อไม่ให้ตกกระแสเท่านั้น
"ถกล นิยมไทย" ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจไอทีของบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัดกล่าวว่าในส่วนของโตชิบาไม่ได้เน้นการทำตลาดเน็ตบุ๊กจึงไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ตลาดที่เกิดขึ้น ความแรงของตลาดเน็ตบุ๊กจะไม่เหมือนกับปีที่แล้วที่เป็นกระแสแฟชั่นมากกว่าดีมานด์จริงๆ และที่สำคัญในปีนี้ผู้บริโภคเข้าใจข้อจำกัดการใช้งานของเน็ตบุ๊กมากขึ้น เพราะทั้งขนาดจอที่เล็กใช้งานไม่สะดวก แถมไม่มีไดรฟ์ ทำให้ ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินเพิ่มอีก 2-3 พันบาทแล้วซื้อโน้ตบุ๊กแทน
อย่างไรก็ตาม เน็ตบุ๊กก็ยังมีโอกาสทางการตลาดโดยเฉพาะในตลาดสถาบันการศึกษา "ถกล" กล่าวว่า เน็ตบุ๊กตอบโจทย์ในเรื่องจองการพกพาสะดวกนอกจากเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องที่ 2 สำหรับพกพาแล้ว ขณะนี้สถาบันการศึกษาหลายแห่งก็ให้ความสนใจจัดซื้อเน็ตบุ๊กเพื่อแจกให้กับนักศึกษาสำหรับการเรียนการสอนในระบบอีเลิร์นนิ่ง เพราะอย่างน้อยก็มีต้นทุนต่ำกว่าการซื้อ โน้ตบุ๊ก ขณะที่สะดวกในการพกพาสำหรับนักเรียนนักศึกษา
เช่นล่าสุดทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้จัดซื้อ HP Mini 2140 หน้าจอขนาด 10.1 นิ้ว เพื่อแจกให้กับนักศึกษา และมีอีกหลายๆ แห่งก็อยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อ
ขณะที่นายภิญโญ สงวนเศรษฐกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายคอนซูเมอร์ บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาดเน็ตบุ๊กจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงแรกที่เข้าสู่ตลาดซึ่งหลายแบรนด์นำสินค้าเข้ามาทำตลาดจำนวนมาก เมื่อประสบภาวะเศรษฐกิจทำให้กำลังซื้อในปัจจุบันลดลง ผู้ค้าบางรายที่สต๊อกสินค้าไว้มีการลดราคาสินค้าเพื่อระบายสต๊อก ราคาโน้ตบุ๊กจึงลดลง แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็สร้างผลกระทบกับยอดขายเน็ตบุ๊กซึ่งมีราคาใกล้เคียงกัน
ที่การแข่งขันมีไม่มากและแบรนด์อื่นเน้นขายสินค้าราคาต่ำกว่า 2 หมื่น ทำให้ได้รับผลกระทบ
โพซิชั่นของเน็ตบุ๊กเน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้งานเครื่องที่ 2 ซึ่งเป็นตลาดที่มีการชะลอการซื้อสินค้าหากไม่จำเป็น ขณะที่กลุ่มผู้ซื้อสินค้าเครื่องแรกจะมองหารุ่นโลว์เอนด์มากกว่า รวมถึงในต่างจังหวัดที่ยังไม่ตอบรับเน็ตบุ๊กเท่าที่ควร บวกกับเมื่อสินค้าไม่มีจุดเด่นเพิ่มเติมจึงทำให้ความนิยมเน็ตบุ๊กลดลง โดยกลุ่มผู้ค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ แบรนด์ที่มีส่วนแบ่งในตลาด เน็ตบุ๊ก 30-50%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดเน็ตบุ๊กจะชะลอตัวจนกว่าจะมีลูกเล่นหรือมีฟีเจอร์ ใดใหม่ๆ เพื่อมาตอบโจทย์ตลาด โดยเฉพาะด้านดีไซน์ ความสวยงาม เบาบางมากกว่าเรื่องของสเป็ก
สำหรับเลอโนโวมีสินค้าเน็ตบุ๊กเพื่อเสริมไลน์เท่านั้น จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยราคาเน็ตบุ๊กเริ่มต้นที่ 9,900-12,900 บาท ส่วนโน้ตบุ๊กราคาต่ำสุดเริ่มต้น 19,900 บาท ทำให้สินค้าไม่ตีตลาดกันเอง และมียอดขายเน็ตบุ๊กคิดเป็น 10% ของยอดขายโน้ตบุ๊กทั้งหมด
ที่มา: matichon.co.th