แอปเปิลประกาศรายละเอียดสิทธิบัตรเทคโนโลยีตัวใหม่ล่าสุดที่บริษัทได้ถือครองเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการรับ-ส่งข้อความในสมาร์ทโฟนได้ตามต้องการ หากมีการใช้งานจริง ข้อความไม่เหมาะสมทั้งข้อความสยิวที่ส่อถึงเรื่องเพศหรือ "sexting" เชิงชู้สาว รวมถึงข้อความสปายที่พนักงานในองค์กรลักลอบขายความลับบริษัท ก็จะไม่สามารถรับและส่งบนไอโฟน (iPhone) ยอดฮิตได้
แม้จะยังไม่มีความแน่ชัดว่าเทคโนโลยีใหม่ของแอปเปิลจะต้องทำงานบนความร่วมมือกับโอเปอเรเตอร์หรือไม่ แต่นักสังเกตการณ์เชื่อว่าเทคโนโลยีต่อต้านข้อความเรื่องเพศหรือ anti-sexting นี้จะถูกใจกลุ่มองค์กรธุรกิจที่หวั่นใจเรื่องการเกิดคดีความอื้อฉาวในองค์กร รวมถึงกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะสามารถป้องกันการล่อลวงบุตรหลานได้ ขณะเดียวกันก็จะตอบความต้องการของบริษัทที่ต้องการรักษาความลับสุดยอดได้ระดับหนึ่ง
** องค์กร-ผู้ปกครอง คุมได้ดั่งใจ **
องค์กรที่ต้องการป้องกันการลักลอบ"สอดแนม" ข้อมูลลับภายในของบริษัท จะสามารถใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อให้ผู้ดูแลระบบข้อมูลไอทีในองค์กรสามารถกำหนด"คำต้องห้าม"ที่ต้องการ (อาจจะเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ลับสุดยอดของบริษัทก็ได้) แล้วสั่งปิดกั้นการแสดงข้อความที่มีคำต้องห้ามนั้นบนสมาร์ทโฟนของพนักงาน เท่านี้ก็จะสามารถควบคุมคอนเทนท์ข้อความตัวอักษรบนสมาร์ทโฟนของพนักงานได้อย่างง่ายดาย
รายงานระบุว่า หากแอปเปิลนำเทคโนโลยีนี้มาติดตั้งในไอโฟนจริงจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความลับสุดยอดของบริษัท โดยคำต้องห้ามจะถูก "flag"หรือทำเครื่องหมายไว้ ซึ่งผู้ดูแลระบบจะสามารถแทนที่คำอื่นลงไปในตำแหน่งคำเดิมได้ด้วย
วิธีการเดียวกันนี้จะสามารถทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถควบคุมคอนเทนท์ไม่สมวัย ไม่ให้ปรากฎบนสมาร์ทโฟนลูกรักได้ด้วย แม้คำว่า "sexting" หรือข้อความสัปดนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศจะไม่ได้ถูกระบุชื่อชัดเจนบนรายละเอียดสิทธิบัตรใหม่ของแอปเปิลก็ตาม จุดนี้นักวิเคราะห์ในตลาดมองว่าความสนใจเรื่องการ anti-sexting ของแอปเปิลนั้นไม่น่าแปลกใจ เนื่องจากแอปเปิลกำหนดมาตรการห้ามติดตั้งแอปพลิเคชันลามกอนาจารบนระบบปฏิบัติการ iOS ในไอโฟนจนถึงขณะนี้ ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการใช้งานแอปพลิเคชันสยิวจะต้องทำการ "เจลเบรก" เครื่อง ซึ่งเป็นความยุ่งยากที่แอปเปิลจงใจสร้างไว้เพื่อให้แอปสโตร์ของตัวเองขาวสะอาดสำหรับทุกเพศทุกวัย
** ยังมีช่องโหว่ **
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงกันว่าความสามารถในการควบคุมข้อความในสมาร์ทโฟนที่เกิดขึ้นแสดงถึงการเซ็นเซอร์ที่แสนเผด็จการ ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องร้องเพื่อรักษาสิทธิ์ส่วนบุคคล ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีนี้ก็ยังมีช่องโหว่หากผู้ใช้สมาร์ทโฟนเหล่านี้เลือกจะรับส่งข้อความบนระบบเครือข่ายสังคมอย่างเฟสบุ๊กแทน ซึ่งทำให้การป้องกันปราบปรามข้อความไม่เหมาะสมบนสมาร์ทโฟนอาจทำได้ไม่ทั่วถึง
นอกจากนี้ การมี FaceTime เทคโนโลยีวิดีโอแชตบน iPhone 4 ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ไม่ใช่ข้อความ ก็อาจทำให้ช่องโหว่ในเทคโนโลยีที่แอปเปิลยื่นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2008 นี้ขยายใหญ่ขึ้น ทั้งหมดนี้ยังเป็นปัจจัยที่แอปเปิลต้องพิจารณาให้ดีหากยังยืนยันที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในไอโฟนรุ่นต่อไป
ที่ผ่านมา ไอโฟนเป็นสมาร์ทโฟนที่มีการใช้งานมากขึ้นในภาคธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการให้โอกาสองค์กรในการดูแลกิจกรรมของพนักงาน อาจจะทำให้ไอโฟนสามารถเข้าถึงกลุ่มบริษัทที่ต้องการควบคุมความลับในองค์กรมากขึ้น นอกจากนี้ ภาพการเป็นสมาร์ทโฟนที่ปลอดภัยสำหรับบุตรหลาน ก็อาจทำให้ไอโฟนกลายเป็นอุปกรณ์ที่พ่อแม่ผู้ปกครองให้ความสนใจ เนื่องจากแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนคู่แข่งอย่าง Android ถูกวิจารณ์ว่าเปิดกว้างและให้ความเสรีกับผู้ใช้มากเกินไป แถมยังมีการควบคุมเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องเพศเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
Company Related Link :
Apple
ที่มา: manager.co.th